Every day is a new beginning. เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันกับ รวิ

Last updated: 30 พ.ค. 2567  |  311 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Every day is a new beginning. เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันกับ รวิ

Every day is a new beginning. เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันกับ รวิ

 

พูดถึงคำว่า “เริ่มต้นใหม่” ผมเคยคิดว่าเป็นกระบวนการที่เราต้องตัดบางอย่างให้จบลง เพื่อไปเริ่มสิ่งใหม่ ลงมือทำใหม่ มีความสัมพันธ์ใหม่ และคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่ ‘คุณรวิ’ เจ้าของเพจ ‘โลกสีเทา by รวิ’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 270,000 คน ได้เขียนหนังสือที่เพิ่งออกใหม่ชื่อว่า ‘เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน Every day is a new beginning.’

ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ ผมนึกสงสัยว่า การเริ่มต้นใหม่ง่ายดายขนาดนั้นจริงหรือ ยิ่งกับวัยผู้ใหญ่ที่พบเจอปัญหาชีวิตรอบด้าน มีความจำเป็นมากมายที่ทำให้เราต้องอดทน จำใจใช้ชีวิตกันต่อไปในสถานการณ์ที่กดดันและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะตัดสิ่งเหล่านั้นออกไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร ผมเลยขอชวนคุณรวิมาร่วมพูดคุยกันว่าเราจะเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันกันได้อย่างไร 

คนเรานั้นเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน

เราอยู่ติดดอยู่ในกรอบของสังคมและวัฒนธรรมที่บอกว่า เราควรต้องทำอะไร ใช้ชีวิตในแบบไหน หรือควรจะมีอะไรบ้างในชีวิต เช่นเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘เมื่อเราอายุ 30 เราควรจะมีบ้านสักหลัง รถสักคัน ความมั่นคงในชีวิต แต่งงานมีครอบครัว…’ สิ่งเหล่านั้นเป็นกรอบที่ขังเราไว้ว่า ถ้าเราไม่ใช่ชีวิตในแบบที่ควรต้องใช้ เราจะกลายเป็นคนที่ล้มเหลว เราเองก็เคยคิดเช่นนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตได้ตกตะกอนว่า จริงๆ แล้ว เราใช้ชีวิตของเรา เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตอบสนองความคาดหวังของใคร ถ้าในวันนั้นเรายังไม่ได้อยากแต่งงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือต้องรีบประสบความสำเร็จแบบที่ใครๆ ก็ทำกัน มันก็ไม่เป็นอะไรเลย ไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลว แต่เรากำลังใช้ชีวิตของเราอยู่ ต่อให้วันนี้เราอายุ 30 40 หรือ 50 ถ้าเราอยากจะเริ่มต้นใหม่กับอะไรสักอย่าง มันก็ไม่ผิดเช่นกัน ชีวิตเราจะเริ่มต้นตอนที่อายุเท่าไรก็ได้ ตราบเท่าที่เราให้อภัยและให้โอกาสตัวเราเองได้ใช้ชีวิตในแบบของเราเอง

อุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนเราเริ่มต้นใหม่ไม่ได้

สำหรับในมุมมองของรวิแล้ว คิดว่าคนเรามีปัจจัยในการเติบโตที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว สังคม หรือสภาพแวดล้อมที่สร้างตัวตนของคนๆ หนึ่งขึ้นมา เวลาที่ชีวิตเราต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ การบอกลาสิ่งหนึ่ง แล้วเริ่มต้นใหม่กับอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดจากความที่เราอยากให้มันเป็นเช่นนั้น หรือเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจของเรา สิ่งเหล่านั้นก็จะพาเราไปสู่ การเปลี่ยนแปลง เหมือนกันหมด แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะพาตัวเองเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น บางคนอาจจะยึดติดกับความเคยชินของสิ่งเก่า ผู้คนเดิมๆ สภาพแวดล้อมเดิมๆ และอาจเกิดความกลัวขึ้นมาภายในจิตใจ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อต้องเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันจะดีขึ้นหรือแย่ลง ก็คงไม่แปลกถ้าเกิดว่าเราจะกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ นี่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายๆ คนไม่กล้าก้าวออกมาจากจุดนั้นค่ะ

 แต่ถ้าให้บอกเล่าให้มุมมองของรวิเองแล้วนั้น เราคงอยากบอกพวกเขาว่า ต่อให้เราจะชอบหรือไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงนี้ สุดท้ายแล้วชีวิตเราก็ต้องรับมือให้ไหวกับการเปลี่ยนแปลงและการเริ่มต้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดีค่ะ ต่อให้เราจะไม่อยากเปลี่ยน แต่ผู้คนรอบตัวเราก็เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ วัน การเปลี่ยนแปลงและการเริ่มต้นมันอาจจะเหมือน “พายุ” ที่เข้ามาในชีวิตของเรา แต่ก็ไม่ใช่พายุทุกลูกที่จะเข้ามาทำลายค่ะ พายุบางลูกก็เข้ามาเคลียร์สิ่งต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้นได้เช่นกัน…เมื่อไรที่การเปลี่ยนแปลงเข้ามาหาเรา ก็แปลว่าเรานั้นพร้อมแล้วที่จะเติบโตมากขึ้นจากจุดที่เรายืนอยู่ ขอให้คุณมั่นใจว่า ทุกๆ อย่างมันจะโอเค สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตเรานั้นดีเสมอค่ะ 

การเริ่มต้นใหม่ จำเป็นต้อง Cut Off จากสิ่งเดิม?

อาจจะไม่จำเป็นต้อง Cut Off ทุกอย่างในชีวิตของเราทิ้งไปค่ะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราอาจไม่สามารถทำได้ทั้งหมด บางเรื่องราว บางความทรงจำ ต่อให้เราจะตัดทุกอย่างทิ้งไป แต่เราก็ยังจดจำมันได้อยู่ในความทรงจำของเราค่ะ ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่จะตัดทุกอย่างทิ้ง 100% เพื่อก้าวไปข้างได้ รวิคิดว่าให้เราเลือกดีกว่าว่าเราจะเก็บอะไรไว้และตัดอะไรทิ้งไป ถ้าเราเลือกเก็บบางอย่างในชีวิตเรา และพามันเดินต่อไปกับเรา เราต้องตระหนักด้วยตัวเองได้ว่าสิ่งๆ นี้ที่เราเลือกถือไว้ มันจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายความรู้สึกหรือความตั้งใจของเราในภายหลัง แต่ถ้ามันมีผลต่อสภาพจิตใจมากเกินไป มีผลต่อการก้าวไปข้างหน้า ทำให้เรายึดติดกับอดีตและพาตัวเองออกมาไม่ได้ เราก็ต้อง Cut Off สิ่งๆ นั้นค่ะ เพราะมันเป็นโทษมากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ สร้างความเสียใจมากกว่าสร้างความสุขใจหรือแรงบันดาลใจให้แก่เรา คนเราทุกคนเติบโตขึ้นจากทุกประสบการณ์ในชีวิต เรื่องที่เราเคยผิดพลาดเราก็เก็บมันไว้เตือนใจ เตือนสติตัวเองว่า เราจะไม่ทำให้ความผิดพลาดนั้นมันเกิดขึ้นอีก เรียนรู้จากอดีตของตัวเอง แต่อย่าถือมันไว้กับตัวเพื่อใช้ลงโทษตัวเองซ้ำๆส่วนเรื่องใดที่เราทำได้ดีแล้ว เราก็เก็บมันเอาไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ชื่นชมและขอบคุณความตั้งใจความพยายามของตัวเราเองค่ะ
 

ปัญหาชีวิตบางอย่างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ครอบครัว การงาน เราจะเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร

หลายเรื่องในชีวิตมันยากจริงๆ ค่ะ จะให้ตัดทิ้งก็ตัดไม่ได้ ให้ยอมรับสภาพก็ทำไม่ไหวเหมือนสถานการณ์เหล่านี้มันสร้างความทุกข์ใจให้ใครหลายคนมากจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของครอบครัว ความสัมพันธ์ การงาน และรวิเองก็เชื่อว่า “ครอบครัว” สำหรับใครหลายๆ คนไม่ใช่ Safe Zone แต่เป็น Dead Zone ก็มี ถ้าให้แนะนำในเรื่องนี้ รวิคงอยากแนะนำไปว่าเมื่อไรก็ตามที่เราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องครอบครัวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัดทิ้งก็ไม่ได้ ให้เราลองตั้งเงื่อนไขกับตัวเองดูว่า เราช่วยเท่าที่เราช่วยได้ ช่วยเท่าที่ชีวิตเรานั้นจะไม่เดือดร้อนและไม่เป็นทุกข์มากจนเกินไป และอย่าได้รู้สึกผิดหรือโทษตัวเองเลยค่ะ เราเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราทำดีที่สุดแล้ว

บางคนต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวที่ Toxic คอยบั่นทอนจิตใจในทุกๆ วันด้วยคำพูดหรือการกระทำ การถูกเปรียบเทียบ การถูกด้อยค่า การไม่เป็นที่ยอมรับ การถูกควบคุมต่างๆ มันสร้างบาดแผลให้คนคนหนึ่งได้เจ็บปวดมากจริงๆ ค่ะ ขอให้คุณรู้ไว้เถอะค่ะว่า ในวันหนึ่งเมื่อเราพาตัวเองออกมาจากจุดๆ นั้นแล้วหายใจได้คล่องขึ้นแล้ว ให้คุณพยายามทำทุกๆ อย่างที่จะสามารถดูแลชีวิตของตัวคุณเองให้ดี ให้ดีพอที่จะไม่ต้องไปรับความช่วยเหลือจากใครในเวลาฉุกเฉิน คนเรานั้นไม่จำเป็นต้องอดทนกับสิ่งที่สร้างความทุกข์ใจให้กับเรามากเกินไป เราเองก็มีชีวิตของเรา ความสุขความสบายของคนอื่นจะสำคัญต่อคุณก็จริง แต่คุณก็อย่าลืมไปว่า “ความสุขของตัวคุณเองนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน” อย่าใจดีกับคนอื่นจนใจร้ายตัวเองมากเกินไปค่ะ ถ้าจุดที่ยืนอยู่มันเหนื่อยใจหรือทุกข์ใจมาก บางครั้งเอาตัวเองออกมาจากจุดนั้นก่อนก็ดีเหมือนกันค่ะ แล้วเมื่อเราสบายใจขึ้น มีแรงใจมากขึ้น การกลับไปมีส่วนร่วมตามวาระโอกาสบ้าง มันก็จะทำให้เรารับมือได้ดีขึ้นได้ค่ะ บางความสัมพันธ์นั้นอาจจะตัดออกไปจากชีวิตไม่ได้ แต่การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าก็เป็นอีก 1 ทางเลือกให้เราได้ แต่รวิก็เข้าใจว่าด้วยบริบททางสังคมหรือวัฒนธรรมไทยก็ทำให้เราแบกรับความรับผิดชอบบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้…ทำเท่าที่ไหวนะคะ 

ส่วนเรื่องการงาน บางคนเจอปัญหาคน Toxic ในที่ทำงาน ให้ลองประเมินสถานการณ์ดูค่ะว่าสภาพจิตใจเราในตอนนั้นมันอยู่ในระดับไหน ยังรับมือไหวไหม หรือไม่สามารถรับมือได้ ถ้ามันสร้างความเจ็บป่วยทางใจให้เรามากขึ้นไป ลองวิเคราะห์ดูว่าเราสามารถทำอะไรกับสถานการณ์เหล่านี้ได้บ้าง หลีกเลี่ยงได้หรือไม่หรือมีทางเลือกที่ดีกว่าไหม? ถ้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ต่อไป ให้เปลี่ยนโฟกัสของเราไปที่งานและการพัฒนาตัวเองแทน และเปลี่ยนโฟกัสเราไปให้ผู้คนที่เป็นมิตรกับเราแทนค่ะ ไม่ต้องไปให้ค่าให้ความสำคัญกับคนที่ทำร้ายเรา ทุกคำพูดและการกระทำของคนเหล่านั้น เราต้องเคลียร์ออก ไม่เก็บมาใส่ใจ ไม่เก็บมาคิดต่อ มองเขาแล้วเอามาเตือนตัวเราเองว่า ถ้าเราอายุมากขึ้น เราจะไม่ทำตัว Toxic ใส่ใคร รวมไปถึงไม่ Toxic กับตัวเราเองด้วย เพราะชีวิตที่ต้องอยู่กับความอคติ อยู่กับทัศนคติในแง่ลบทุกวัน ไม่มีความสุขค่ะ เราจะไม่ใช้ชีวิตในแบบนั้นค่ะ เราจะไม่โตขึ้นแล้วเปลี่ยนไปเป็นคนในแบบที่เราเคยไม่ชอบใจ และไม่อยากเป็นค่ะ

อยากเริ่มต้นใหม่แต่กลัวการเปลี่ยนแปลง และกลัวสูญเสียสิ่งที่มีอยู่

ทุกครั้งที่เราปิดประตูบานหนึ่งลง ขอให้รู้ไว้ว่ายังมีประตูอีกหลายบานที่จะรอให้เราไปเปิดมันค่ะ เราอาจคิดว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้นดีที่สุดแล้ว ปลอดภัยกับชีวิตเราที่สุดแล้ว และมันก็ยากที่จะก้าวออกมาจากจุดๆ นั้น เพราะเราอยู่กับความเคยคิดที่ว่า นี่คือชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราเลือกสิ่งใหม่ เราเองก็ไม่รู้ว่ามันจะดีขึ้นหรือแย่ลง สู้เราอยู่กับสิ่งที่เราเคยคิดไปเลยคงจะดีกว่า หลายๆ คนคงจะรู้สึกแบบนี้ใช่ไหมคะ ถ้าเราคิดเช่นนี้ แปลว่าเราไม่อนุญาตให้ตัวเราเองได้พบเจอโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามา ใช่ค่ะ เราไม่รู้หรอกว่ามันจะดีขึ้นหรือแย่ลง ทางเดียวที่เราจะรู้ก็คือการพาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น “การไม่เสี่ยง นั่นแหละคือความเสี่ยง” ถ้าเราเลือกที่จะอยู่ทนอยู่กับสิ่งเดิมๆ ทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่า มันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่อนุญาตให้ตัวเองได้มีโอกาสมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น ได้ลงมือทำสิ่งใหม่ๆ เลย ลองคิดย้อนกลับไปในชีวิตดูค่ะ หลายครั้งเวลาที่เราจบความสัมพันธ์เก่าๆ หลายครั้งที่เราเปลี่ยนงาน ลาออกจากงานเก่าๆ ตอนนั้นเราก็กลัวใช่ไหมคะ เราก็คิดเหมือนตอนนี้แหละว่า มันจะเป็นยังไงนะ มันจะดีไหม ฉันควรตัดสินใจอย่างไรดี?....แต่สุดท้ายแล้ว หลายๆ เรื่องที่เราเคยกังวลว่ามันจะเกิดขึ้น มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบที่เรากังวลหรอกค่ะ และเพราะว่าเราเลือกที่จะ “เริ่มต้นใหม่” เปลี่ยนแปลงตัวเอง เราเลยกลายเป็นคนที่ดีขึ้น เก่งขึ้น รับมือกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น พบเจอผู้คนใหม่ๆ และโอกาสในชีวิตที่มากขึ้นใช่ไหมล่ะคะ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันก็แค่เป็นอีกครั้งที่ต้องเปลี่ยนแปลง ให้หันใจด้านที่ดีและมีพลังของเราเข้ารับมือค่ะ เพราะความเครียด ความกังวลไม่เคยช่วยให้อะไรนั้นดีขึ้นเลย เวลาที่เราจะเริ่มต้นใหม่กับอะไรสักอย่าง ให้พาตัวจนใหม่ๆ ของเราไปกับเรา อย่าได้พาปัญหาเก่าๆ ที่เราเคยเป็นไปกับเราด้วยค่ะ

ความกลัวเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่กลัวจนไม่อนุญาตให้ตัวเองมีโอกาส มีความสุขเลย เป็นการทำร้ายตัวเองอย่างหนึ่ง ถ้าเราเกิดไม่มั่นใจกับการตัดสินใจในชีวิตเราขึ้นมา รวิมี 3 คำวิเศษที่รวิใช้บอกตัวเองบ่อยๆ คือคำว่า “เราเก่งพอ เรากล้าหาญ เราทำได้” ลองพูดคำเหล่านี้กับตัวเองดูค่ะ แล้วเราอาจจะพบว่า เราอาจจะเก่งและเข้มแข็งมากกว่าที่เรารู้จักตัวเราเองก็ได้ค่ะ

กำลังใจถึงคนที่กำลังเจอปัญหาหนักในชีวิต

เวลาที่เราเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเรา หลายๆ เรื่องพร้อมกัน และเรารู้สึกว่า เราเองก็ไม่รู้จะรับมือกับมันยังไงดี หันไปทางไหนก็ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเรา ไม่มีใครรับฟังหรือเข้าใจเราเลย ความรู้สึกของเรามันอาจจะเหมือนเราตกลงไปในหลุมดำที่ไม่มีทางขึ้นมา รวิเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่าเวลาที่เรารู้สึกแบบนั้นมันเจ็บปวด ทรมานมากแค่ไหน อยากให้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกแบบนี้อยู่นั้น รวิอยากบอกกับคุณว่า…

…..ที่ผ่านมาเหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ? สิ่งต่างๆ แม้เราจะพยายามทำมันอย่างเต็มที่และสุดความสามารถของเราแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าเรานั้นล้มเหลวอยู่เรื่อยไป แม้ว่าเราจะตั้งใจมากแค่ไหน แต่ผลของความพยายามนั้นมันก็ไม่ส่งผลเสียที บางวันมันก็ยากจริงๆ ยากแม้กระทั่งไม่อยากจะหายใจต่อไป ไม่อยากจะใช้ชีวิตต่อไป ไม่ต้องการที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีก บางวันก็เหมือนกับว่าเราเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่ก็รู้สึกโดดเดี่ยวมากจริงๆ เหมือนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีแต่ข้อผิดพลาดเต็มไปหมด เหมือนเป็นสิ่งของที่ผุพัง….แต่คุณรู้ไหมคะ ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย แม้เราจะคิดว่าชีวิตเราเป็นแบบนั้น แต่นั้นเป็นเพียงความคิดของเราเอง ถ้าคุณคิดว่าไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจความรู้สึกของคุณ อยากให้คุณอ่านบทความนี้ มีคนคนหนึ่งที่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ค่ะ  คุณไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ ทุกครั้งที่คุณหลงลืมตัวไป อยากให้คุณรู้ไว้ว่าคุณนั้นยอดเยี่ยมที่สุด มีเพียงคุณเท่านั้นที่รู้ว่าคุณได้พยายามต่อสิ่งต่างๆมากแค่ไหน ทุกความตั้งใจ ความทุ่มเทที่คุณทำไป คุณเก่งมากๆ ค่ะ คุณมีจิตใจที่อ่อนโยน คุณรับรู้ความทุกข์ของผู้อื่น คุณไม่มองข้ามสิ่งที่ใครหลายคนมองข้าม คุณนั้นเข้มแข็งและกล้าหาญ และโลกนี้ต้องการคุณค่ะ….วันนี้อาจจะรู้สึกเหนื่อย หมดแรง ไม่อยากสู้ต่อแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ พอผ่านวันนี้ไปทุกๆอย่างมันก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง รอดเป็นวันๆ แล้วเราก็จะรอดทุกวันเอง สภาวะความทุกข์ที่เราเจอนี้ มันเป็นสภาวะชั่วคราวเท่านั้น เป็นบททดสอบหนึ่งที่เข้ามา มันจะไม่อยู่ไปตลอดค่ะ พาตัวเองไปกินของอร่อยๆ แม้เราจะไม่อยากกิน นอนหลับพักผ่อน อาบน้ำให้สดชื่น เพราะร่างกายเราต้องการสิ่งเหล่านี้ ชื่นชมให้กำลังใจตัวเอง…ทุกๆ วันของเรานั้นเริ่มต้นใหม่ได้เสมอค่ะ :) 

ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี มันจะโอเค และคุณจะไม่เป็นอะไร หลังจากที่คุณผ่านเรื่องราวพวกนี้ไปได้คุณจะค้นพบว่าตัวคุณเองเข้มแข็งได้มากกว่าที่เคยเป็นมา 


“ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณค่ะ”

 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้